* ภาพประกอบจากอินเตอร์เน็ต ไม่เกี่ยวข้องกับเนื้อเรื่อง
* ภาพประกอบจากอินเตอร์เน็ต ไม่เกี่ยวข้องกับเนื้อเรื่อง
เด็กอัจฉริยะมีทุกแห่ง เขาจะช่างคิด จินตนาการที่ลึกล้ำ เช่น เด็ก ป. ๒ ที่โรงเรียนบ้านมะขามเอน เป็นคู่หูกันสองคน ถ้าครูเผลอ เขาจะแอบออกจากห้อง แล้วครูจะหาเขาไม่เจอ เพราะเขาไปแอบนอนเล่นในเตาเผาถ่านข้างโรงเรียน
ยามแล้งในระแวก ๓ กิโลเมตร จะไม่มีแหล่งน้ำให้สัตว์ได้หากินเลย เขาทั้งคู่ก็เกิดจินตนาการ โดยหิ้วน้ำใส่แกลลอน ๕ ลิตร แล้วเอามาแบ่งใส่กะลา ตั้งไว้ตามในป่า นก หนู ได้กลิ่นน้ำก็จะลงมากิน
ความจริงจะน่าสรรเสริญยิ่งนัก ถ้าเขาไม่เอาแลนเนท*เข้าไปด้วย ทำให้นก หนู ตายกันเกลื่อนป่า
คิดได้ยังไง ถ้าไม่ใช่เด็กอัจฉริยะ แต่งานนี้ถูกพ่อตีเอาแย่ ฮ่าๆๆ
๑๖ มิ.ย. ๒๕๖๐
------
* แลนเนท - ยี่ห้อของยาฆ่าหญ้า
ครูที่โรงเรียน ๗ คน ชายล้วน ดูบรรยากาศมันกระด้างไปหน่อย ถ้ามีสาวสวยเข้าคงทำให้ดีขึ้น กลับถึงโรงเรียนบอกลูกน้องว่า มะรืนนี้ได้ครูสาวเข้ามา ดูแจ่มใสกันทุกคน
ตอนสายของวันรายงานตัวครูใหม่ มอเตอร์ไซค์วิบากวิ่งแหวกฝุ่นบนถนนมา ยกมือไหว้พร้อมยื่นหนังสือให้ เป็นหนังสือส่งตัว "ผมสับเปลี่ยนกับครูหญิงคนนั้นครับ ความจริงผมได้อำเภอเมือง บังเอิญรู้จักกัน ผมเลยเข้ามาที่นี่แทนครับ"
เราแลเห็นสายตาแห่งความผิดหวัง ปรากฎอยู่หลายคู่เชียวแหละ ...
เอ๊ะ.. มีของครูใหญ่ด้วยหรือเปล่าไม่รู้นะ
วันสิ้นเดือนเราเข้าไปรับเงินเดือนมาจ่ายให้ครู พร้อมประชุมผู้บริหาร วันนี้มีพิเศษ ตรงที่มีครูบรรจุใหม่มารายงานตัว และทำความรู้จักกับครูใหญ่ที่ตัวเองได้บรรจุ โรงเรียนเราได้ผู้หญิงจบ ปกศ. สูง หน้าตาผิวพรรณจัดในขั้นสวย
๑๖ มิ.ย. ๒๕๖๐
* ภาพประกอบจากอินเตอร์เน็ต ไม่เกี่ยวข้องกับเนื้อเรื่อง
* ภาพประกอบจากอินเตอร์เน็ต ไม่เกี่ยวข้องกับเนื้อเรื่อง
สมัยเมื่อสี่สิบปีที่แล้ว อ.สวนผึ้งไฟฟ้ามีเป็นบางจุด โรงเรียนบ้านมะขามเอนไม่มีไฟฟ้า กลางคืนก็จุดเทียนจุดตะเกียงอยู่กัน
เราพักบ้านพัก อยู่รวมกับครูปัญญา เจริญวงศา กับเมีย แยกกันอยู่คนละซีก คืนหนึ่งประมาณสองทุ่ม เรากลับมาจากข้างนอก แวะเอาของที่บ้านพัก และต้องออกไปต่อ เราเดินขึ้นบ้านพัก เห็นห้องครูปัญญาจุดเทียนสว่าง ก็ทักทายตามมารยาท เป็นการให้เสียง ปัญญา ยังไม่นอนเหรอ ทักไปสองสามครั้ง ไม่มีเสียงตอบ มีแต่เสียงเหมือนคนเดินกึกกึก ชักโมโห นึกด่าในใจ นี่ครูใหญ่ทักมันยังทำหูทวนลมอีก
เอาของเสร็จเดินออกไปหน้าโรงเรียน ที่ร้านพี่แรม ครูปัญญากับเมียนั่งคุยอยู่กับพี่แรมที่ร้านค้า
ออกมานานแล้วหรือ เราถามครูปัญญา แกก็งง บอกว่าตั้งแต่โรงเรียนเลิก ผมออกไปป่าหวาย เพิ่งกลับเข้านี่แหละ อ้าว แล้วใครจุดเทียนเอาไว้สว่างโร่ เดี๋ยวได้ไหม้บ้านกันหมดหรอก รีบเข้าไปดูเลย
ครูปัญญารีบวิ่งเข้าไปดูพักเดียว วิ่งกลับมาหน้าตาตื่น ไม่มีใครจุดอะไรนี่ครับ มืดตึ๊ดตื๋อ อ้าว แล้วใครจุด แถมเดินกึกกักละหว่า แหม นึกว่ามึงหยิ่งซะอีกปัญญา ฮ่าๆๆ
๑๖ มิ.ย. ๒๕๖๐
พ.ศ. ๒๕๒๑ เจ้านายแต่งตั้งให้ไปเป็นครูใหญ่ ร.ร.บ้านมะขามเอน มีเวลาก็กลับไปเยี่ยมบ้านที่ ดำเนินฯ เตี่ยเกเซียเจอหน้าทักว่า เป็นไงโว้ย ครูใหญ่ บอกว่าประสาทจะเสื่อมแล้ว
เตี่ยบอกว่าพูดยังงี้ดี เพราะทำงาน จึงต้องเจอปัญหา คุยไปคุยมา เตี่ยบอกว่า ตรงหัวสนามมันมีเสาอยู่ต้นหนึ่ง คงเป็นเสาเจ้าที่เก่า ลองไปหาดู ห่างจากเสามาสี่ห้าก้าวมีเศษขวดแตกสีเขียวอยู่ แปลกนะ เขาอยากกินเหล้า เอาเหล้าไปถวายสักขวดแล้วดี
มีจริงอย่างเตี่ยว่า แต่ประทานโทษ ไม่ได้ให้กิน พอเขารู้ว่าเรารู้แล้ว คราวนี้ตอนกลางคืนเดินรอบบ้านพัก.. เราก็ยิ่งโมโห
ผล ครูใหญ่เป็นมาลาเรียลงกระเพาะเกือบตาย ครูเกเซียแน่ไหมละ
มีต่ออีกหน่อย พอดีเราได้ย้ายออก มีครูใหญ่คนใหม่เข้าไปแทน ชื่อวีรชัย บุญหนุน แกคงจำชื่อ ชัยๆ ว่าเป็นคนเดิม เล่นงานวีรชัย ป่วยตายไปเลย
๑๖ มิ.ย. ๒๕๖๐
* ภาพประกอบจากอินเตอร์เน็ต ไม่เกี่ยวข้องกับเนื้อเรื่อง
* ภาพประกอบจากอินเตอร์เน็ต ไม่เกี่ยวข้องกับเนื้อเรื่อง
โรงเรียนบ้านมะขามเอน (ยังไม่ล้ม) อยู่ติดเขต อ.จอมบึง โดยมีเขาสนเป็นเขตแดนโรงเรียน อยู่ห่างเชิงเขาประมาณ 1 กม. ถนนตัดผ่านหัวเขา แล้วผ่านหน้าโรงเรียนเข้าป่าหวาย
ตรงเนินหัวเขาสน เป็นที่ตั้งของศาลเจ้าพ่อมะขามเอน สิ่งมหัศจรรย์อยู่ตรงยอดเขาสน หรือหลังศาล ในคืนวันพระ จะมีลูกไฟกลมขนาดบาตรพระ ขาวนวลผ่องแข่งกับแสงจันทร์
เคยเฝ้าดูอยู่ว่าจะหายไปตอนไหน ก็เผลอ จับไม่ได้สักที ตอนนั้นความสนใจในสิ่งลี้ลับมีน้อยเกินไป ไม่ได้สนใจอะไรมาก จริงแล้ว นี่คือสิ่งวิเศษสุด เพราะแสดงว่าบริเวณนั้น ต้องมีพระอรหันต์ธาตุสถิตย์อยู่ ถ้าเป็นตอนนี้คงคิดทำอะไรได้มาก ไม่รู้ว่าเดี๋ยวนี้ยังอยู่หรือเปล่า เพราะย้ายออกมา 40 ปีแล้ว
สิ่งลี้ลับยังมีอีกมาก จ่าเต้ยไปสำรวจหน่อย ไปถามบ้านหน้าโรงเรียน ลุงสวง ป้าแรม บอกว่าเป็นหลานครูพิชัย ครูใหญ่คนที่สอง อย่าลืมไปถามเรื่องดวงไฟนี้ให้หน่อย
๑๖ มิ.ย. ๒๕๖๐
กระป๋องนม เจาะพอนิ้วลอดได้ เขียนติดข้างกระป๋องไว้ว่า
"แหย่มีโชค ๑ สลึง"
มีคนเอานิ้วแหย่ลงไป ชักนิ้วขึ้นมา เหม็นขี้ ข้างๆ มีกระป๋องน้ำ สบู่ เขียนติดไว้ว่า
"ล้าง....สองสลึง"
การหากินของคนกรุงเทพฯ หลังสงครามโลกครั้งที่ 2
คนเล่าคือลุงแดง พ่อนายอำเภอประสาท บุตรดา
๖ ก.ค.๒๕๖๐
* ภาพประกอบจากอินเตอร์เน็ต ไม่เกี่ยวข้องกับเนื้อเรื่อง
* ภาพประกอบจากอินเตอร์เน็ต ไม่เกี่ยวข้องกับเนื้อเรื่อง
คลองวัดสนามไชย เป็นคลองที่เริ่มต้นตรงวัดสนามไชยไปประมาณ 1 กม. เชื่อมต่อกับคลองหลวง ซึ่งยาวประมาณ 5 กม. ทะลุออกไปเชื่อมต่อกับคลองไปเชื่อมต่อกับคลองดำเนินสะดวก เป็นทางสัญจรของชาวบ้าน ถึงยามหน้าแล้งก็พอมีน้ำให้เรือแพใช้สัญจรกันได้ พวกพ่อค้าจะบรรทุกของทางเรือแล้วล่องเข้ามาขายให้ชาวบ้านในลำคลอง
เจ็กขายหมูนั่งเรือลำเล็กๆ วางเก้าอี้สูง มีเขาวัวทำเป็นเครื่องเป่าดังปู้นๆๆๆ เจ็กขายปลาทูนึ่งที่ใช้เสียงตะโกนบอกชาวบ้าน "ปลาทูนึ่งเน้อ" เรือกาแฟจะมีแตรโลหะ ด้านท้ายเป็นลูกยางกลมๆ พอบีบลูกยางเสียงจะดัง "แป๊นๆๆๆ" เรือขายของเบ็ดเตล็ดจะเป็นเรือขนาดใหญ่หน่อย ทำโครงกรุด้วยตาข่ายเหล็ก ภายในมีสินค้าสารพัด ตั้งแต่ไม้จิ้มฟันถึงนาฬิกาข้อมือ
แล้วก็มีอีกลำหนึ่ง เป็นยายซิ้มแก่ๆ ขายก๋วยจั๊บ แกพายมาเรื่อยๆ ไม่ต้องส่งสัญญาณ เพราะแกมาตรงเวลา ใครจะกินก็นั่งรอข้างตลิ่ง แกจะมาถึงคลองวัดสนามไชยเกือบเพล เพื่อจะได้ไปจอดขายที่โรงเรียน ซึ่งชาวบ้านก็จะมานั่งรอที่นั่น
มีคนใหญ่เขาคุยกันว่า เนื่องจากแกเป็นคนแก่ ลุกนั่งลำบาก เวลาแกปวดฉี่ แกจะฉี่ใส่ชามก๋วยจั๊บ แล้วเทลงคลอง เราก็เลยไม่กิน ตอนนั้นเราอายุ 5 ขวบยังไม่ได้ไปโรงเรียน จึงอยู่บ้านกับย่าสองคน พี่สองคนเจ้เล็ก กับเฮียแป๊ะไปโรงเรียนแล้ว เราชอบที่จะมาเล่นขี้ดินขี้ด่างที่ริมคลองคนเดียว
หลังจากที่เราฟังคนเล่าเรื่องยายซิ้มขายก๋วยจั๊บแล้วก็เกิดความคิดว่าเราจะต้องจัดการกะยายซิ้ม เราก็เตรียมก้อนดินไว้หลายๆ ก้อน พอแกพายผ่านเราก็ขว้างก้อนดินใส่เรือแกทันที ถูกถ้วยชาม หม้อก๋วยจั๊บ ทำอยู่สามสี่วัน มันมาก
เย็นวันหนึ่ง เตี่ยกลับจากโรงเรียนมาถึงก็เรียก ไอ้ชัยมานี่ ยายซิ้มเขาไปฟ้องว่าเอ็งขว้างเรือเขาทุกวัน ถ้าทำอีกพรุ่งนี้มึงจะโดน ตอนนั้นเตี่ยเขาจะนึกไหมหนอ ลูกกูอายุ 5 ขวบ มันเอาความคิดลึกซึ้งอย่างนี้มาได้ยังไง ช่างน่ารักจริง ๆ
๒๒ ก.ค. ๒๕๖๐
ข้างบ้านทางทิศตะวันออก ริมปากบ่อ มีพุทราอยู่สองต้น ต้นหนึ่งเป็นพุทราพื้นบ้าน อีกต้นเขาเรียกว่าไข่เต่า ลูกมันจะรี ๆ หน่อย กินอร่อยกว่า
ตอนนั้นเราอายุห้าขวบ ปีนต้นไม้เก่งแล้ว เราจะปีนต้นพุทราแล้วเขย่าลงมา ย่าอยู่ข้างล่างก็เก็บ ล้างสะอาดดีแล้ว ก็ใส่กระทงใบตองที่ย่าเย็บอย่างสวยงาม ใส่ถาดลงเรือไปบ้านโกลั้น ลุกสาวย่าที่ตลาดนัดตาลี้ เราก็ต้องไปด้วย นำเอาไปวางขายที่ตลาดพักเดียวก็หมด จำไม่ได้ว่ากระทงละเท่าไหร่ ขายได้ย่าจะไปแลกเป็นแบงก์ใบละบาทเก็บไว้ใต้ที่นอน
เราเรียนจบ ป. ๔ ต้องมาเรียนต่อที่โพธาราม วันที่เตี่ยจะพามาเรียน เข้าไปกราบย่า ซึ่งตอนนั้นท่านอายุ ๘๕ แล้ว ย่าล้วงไปใต้ที่นอน หยิบแบงก์มาปึกนึงส่งให้ บอกว่าเอาไปใช้ แล้วบอกกกับเตี่ยว่า เงินขายพุทราของชัยมัน
ขอหยุดร้องไห้แปบนะ
๒๒ ก.ค. ๒๕๖๐
* ภาพประกอบจากอินเตอร์เน็ต ไม่เกี่ยวข้องกับเนื้อเรื่อง
* ภาพประกอบจากอินเตอร์เน็ต ไม่เกี่ยวข้องกับเนื้อเรื่อง
เราเกิด พ.ศ. ๒๔๙๑ ความจริงจะต้องเข้าเรียน ป.๑ ตามเกณฑ์เมื่ออายุเข้า ๗ ขวบ คือ พ.ศ. ๒๔๙๗
วันหนึ่งเราไปโรงเรียนกับเตี่ย กินข้าวกลางวันเสร็จ บรรดาครู ๆ ก็มารวมตัวคุยกันในห้องครูใหญ่ คือห้องเตี่ยนั่นแหละ เราก็นั่งเล่นอยู่ข้างโต๊ะเตี่ย ครูอำพัน ชุณหหิรัญ หลานชายเตี่ย นึกยังไงขึ้นมาไม่รู้ ถามเราว่า
เฮ้ย ชัย ท่อง ก.ไก่ ถึง ฮ.นกฮูก ให้เฮียฟังหน่อย เราก็ท่องให้แกฟัง แกก็พูดใหม่ว่า งั้นท่องจาก ฮ.นกฮูก กลับมา ก.ไก่ เราก็ดันท่องได้อีก
แกบอกเฮ้ย... กู๋ แกเรียกเตี่ย เพราะเป็นน้องแม่แก เอามันเข้าเรียน ป. ๑ เลย เราก็เลยได้เข้าเรียน ป. ๑ ก่อน ๑ ปี จบ ป. ๔ พ.ศ. ๒๕๐๐
เลยไปเรียนที่ไหนก็จะอายุน้อยกว่าเพื่อน สิ่งที่สำคัญคือ ได้เมียแก่กว่า ๑ ปีนี่ซิ ไม่น่าเรียนเร็วเลยกู ดวงชะตาเลยพลิกผันหมด
๒๒ ก.ค. ๒๕๖๐
เจ้เล็ก เฮียแป๊ะ เวลาจะขอตังค์เตี่ยตอนอยู่โรงเรียน จะต้องดันหลังให้เราเข้าไปขอทุกที แล้วก็ได้มาคนละสลึง
เตี่ยเคยพูดขำ ๆ ว่า เจ้าหนี้คนอื่นเวลาทวงเงิน ไม่ทวงต่อหน้าคน แต่ลูกมันทวงต่อหน้าคน ถ้าไม่มีขายหน้าแย่
๒๒ ก.ค. ๒๕๖๐
* ภาพประกอบจากอินเตอร์เน็ต ไม่เกี่ยวข้องกับเนื้อเรื่อง
* ภาพประกอบจากอินเตอร์เน็ต ไม่เกี่ยวข้องกับเนื้อเรื่อง
พ.ศ. อะไรจำไม่ได้ เฮียแป๊ะบวช มีเฮียเหว่า ลูกตาฮ้อตลาดนัดตาลี้ บวชอยู่ด้วย ตอนกลางคืน เราจะเอาโอเลี้ยง กาแฟ ใส่กระติกไปถวายหลวงเฮียแป๊ะ พร้อมพรรคพวก
วันหนึ่งไปถึงสักสองทุ่ม นึกในใจว่าวันนี้ทำไมมันเงียบกันจริงหว่า พระเจ้าเข้าห้อง ไม่มานั่งคุยเหมือนเดิม รู้ต่อมาว่า เมื่อตอนหัวค่ำ บรรดาหลวงพี่ทั้งหลาย ไปนั่งคุยที่ระเบียงโรงเรียนชั้นล่าง บางคนก็ทำผีหลอกกัน พักเดียว หลวงพี่เหว่าถูกมือลึกลับตบเสียหัวซุน หันไปดูไม่มีใครก็ตะโกนลั่น ผีหลอกโว้ย!!! เท่านั้นแหละ ตัวใครตัวมัน วิ่งกันน้ำกระจาย
ไอ้ที่สำคัญ คือคนส่งกาแฟ จะต้องเดินกลับผ่านไอ้ระเบียงนั่นด้วย แถมต้องลอดศาลาปรกป่าช้าอีก จะทำยังไงดีละ หลวงพี่แกก็ไม่ยอมเดินมาส่งเป็นเพื่อนด้วย พรุ่งนี้อดเถอะ ไม่ต้องฉันแล้ว
...เสี่ยเทพ ถามป๋าซิ จริงไหม...
๒๓ ก.ค. ๒๕๖๐
มีนาคม-เมษายน น้ำในคลองแห้งขอด แต่ยังพอมีอยู่บ้าง ชาวบ้านดอนคลังจะลงมาหาซื้อต้นกล้วยที่ตัดเครือแล้ว เอาไปหั่นตำผสมกับรำให้หมูกิน เขาจะตัดต้นกล้วยผูกกันเป็นคูๆ ใช้เชือกโยง ลากไปตามคลอง กว่าจะถึงดอนคลังน่าจะถึงสิบ กม. คนลากก็เหนื่อย
คุณแม่บุญมานั่งทำงานอยู่บนคันสวนริมคลอง พอพวกลากต้นกล้วยผ่านมา แม่จะเรียกหยุดก่อน กินน้ำกินท่าก่อน เอามะม่วงไปกินแก้อยากน้ำ เอาไปมาก ๆ ไว้กินกลางทาง
คนลากจะกี่คนก็ตาม บางครั้งเป็นสิบ ก็จะได้รับของแจกจากแม่เหมือนกัน เป็นตัวอย่างทำถึงพวกลูก ๆ ทุกวันนี้
แม่ให้แล้ว แม่มีความสุข
ผลจากจิตที่บริสุทธิ์ แม่ได้ส่งกลิ่นสวรรค์มาให้คนได้รับรับรู้ เหมือนบอกว่านรก สวรรค์มีจริง เราทำความดีให้ได้เศษเสี้ยวของแม่ก็ยังดีนะ
๒๓ ก.ค. ๒๕๖๐
* ภาพประกอบจากอินเตอร์เน็ต ไม่เกี่ยวข้องกับเนื้อเรื่อง
* ภาพประกอบจากอินเตอร์เน็ต ไม่เกี่ยวข้องกับเนื้อเรื่อง
ตอนหัวค่ำ ถ้าเตี่ยไม่ได้ไปไหน พวกเราสามคน คือ เจ้เล็ก เฮียแป๊ะ และเรา จะมานอนเล่นตรงประตูหน้าบ้าน ส่วนแม่ชีน้อยยังเล็กมาก นอนกับแม่ในมุ้ง
เตี่ยจะอ่านนิทานให้ฟัง ตามด้วยสีซอ แล้วเราสามคนก็หลับอยู่ตรงนั้น ตื่นตอนเช้าก็นอนอยู่ในมุ้งเรียบร้อยแล้ว เป็นความสุขที่ไม่มีวันได้หวลคืน เหลือแต่ความระลึกถึง ด้วยความวังเวงหัวใจ
๒๕ ก.ค. ๒๕๖๐
เราเป็นคนทันสมัยมาก เพราะเรารู้จักเรือไอ (เรือยนต์) รู้จักเรือบินที่บินผ่านหลังคาบ้านเรา ทั้งกลางวันและกลางคืน ก่อนที่เราจะรู้จักรถยนต์
เจ้เล็กไปเรียนที่เพชรบุรี ต้องนั่งเรือแจวตาเลี่ยม ไปนั่งเรือไอต่อที่คลองดำเนินสะดวก แล้วนั่งเรือไอจากบางนกแขวก ไปนั่งรถยนต์ที่ตัวเมืองราชบุรี แล้วจึงนั่งรถยนต์ต่อไปเพชรบุรีอีกต่อหนึ่ง
เมื่อเจ้เล็กกลับบ้าน เราถามว่าล้อรถมันใหญ่ขนาดไหน ขนาดล้อเกวียนได้ไหม ลดลงมาจนถึงกระด้ง เจ้บอกว่า เออ ขนาดนั้นแหละ แต่มันหนากว่านั้นนะ หนากว่าเยอะด้วย แล้วล้อมันทำด้วยยาง
อธิบายยังไงก็เกินจินตนาการ มาเห็นจริง ๆ ตอนอยู่ ป.๒ เพราะเขามีตัดถนนสายบางแพ-ดำเนินสะดวกเข้ามา
สวนบ้านเราที่ดำเนินสะดวกเป็นขนัดสุดท้าย ออกไปยืนปลายสวนเป็นทุ่งโล่งสุดลูกตา ผ่านแช่ไห เข้าดอนคลัง บัวงาม หน้าน้ำน้ำจะเต็มทุ่ง มองไปเหมือนทะเล ไปไหนก็ใช้เรือพายไป หน้าแล้งก็เดินอย่างเดียว
พ.ศ. ๒๕๐๐ วัดบัวงามมีการปิดทองฝังลูกนิมิต กำนันสมพงษ์ นิลรัต แกซื้อรถบรรทุก เลยบรรทุกคนไปงานปิดทอง แกให้คนขับขับมาตามทางเกวียน มารับย่าที่ปลายสวน เราได้ไปด้วย นับเป็นการได้ขี่รถยนต์ครั้งแรก
คงเป็นการเริ่มต้นจากรถบรรทุก เลยไม่มีโอกาสเป็นเจ้าของรถเบนซ์กับเขาซักที
๒๕ ก.ค. ๒๕๖๐
* ภาพประกอบจากอินเตอร์เน็ต ไม่เกี่ยวข้องกับเนื้อเรื่อง (https://www.youtube.com/watch?v=SUqlpbIB5OY)
* ภาพประกอบจากอินเตอร์เน็ต ไม่เกี่ยวข้องกับเนื้อเรื่อง
เรื่องมีอยู่ว่า ปลัดเต้ย คนละคนกับจ่าเต้ย แกเป็นนักมนุษยสัมพันธ์ที่ดี จำได้ว่ามีสาวมาติดต่องานที่อำเภอ เพิ่งแต่งงานเมื่อสองวัน แล้วแกก็ตะโกนถามว่า อีหนูแต่งงานแล้วเป็นไงบ้าง ทำนองว่าสุขสบายดีไหม
อีสาวก็ตะโกนตอบมาเสียงเบาๆ ว่า
"เจะๆๆ หนุๆๆ ค่ะ"
ปลัดแกย้ายมาใหม่ ไม่ค่อยเข้าใจภาษากะเหรี่ยง เลยหันไปถามเสมียนสาวว่าอีหนูมันว่ายังไง เสมียนสาวแปลด้วยใบหน้าแดงระเรื่อว่า เจ็บก็เจ็บ สนุกก็สนุก ค่ะ
...อย่าว่าโป๊เน้อ
๓๐ ก.ค. ๒๕๖๐
มีผู้เขียนไปถามหลวงพ่อฤๅษีว่า นอนหลับฝัน มีผู้มาบอกคาถาให้จำได้ หลวงพ่อบอกว่า คนที่ฝันนี้ไม่ธรรมดานะ
หลายปีแล้ว ไปนอนที่บ้าน อ.หน่อย เชียงใหม่ ตื่นมาตอนตีสี่ เลยนอนต่อ มีคนหรือพระไม่แน่ใจ มาบอกคาถาให้ ว่า
"พุทโธ พุทธัง อะระหัง สุคะโต
ธัมโม ธัมมัง อะระหัง สุคะโต
สังโฆ สังฆัง อะระหัง สุคะโต"
ยังบอกอีกว่า ตื่นแล้วจดไว้นะ เดี๋ยวจะลืม
อนุญาตใครจะเอาไปใช้ไม่ว่า
18 ส.ค. 2560
* ภาพประกอบจากอินเตอร์เน็ต ไม่เกี่ยวข้องกับเนื้อเรื่อง
* ภาพประกอบจากอินเตอร์เน็ต ไม่เกี่ยวข้องกับเนื้อเรื่อง
ฝันเมื่อกี้เอง ฝันว่าขึ้นไปบ้านเก่าที่ดำเนินฯ มืดแล้ว เห็นแสงไฟมีอยู่ในห้อง เปิดประตูเข้าไปเจอเด็กผู้หญิง อายุ ๓-๔ ขวบ แก้ผ้า กำลังเล่นน้ำเปียกหมด จุดเทียนไว้ที่ข้างหน้าต่างเล่มหนึ่ง และเสียบไว้ข้างฝาอีกเล่มหนึ่ง เลยเป่าเทียนเล่มข้างฝาให้ดับ กลัวไฟไหม้ฝาบ้าน แล้วอุ้มเด็ก ความรู้สึกว่าเป็นน้อง แต่เด็กคนนี้หน้าเหมือนเตี่ย
ตอนแรกไม่ยอมให้อุ้ม เกเร ดิ้นใหญ่เลย แต่ก็อุ้มออกมานอนที่ระเบียง เอาผ้าเช็ดตัวให้ นอนหัวเราะกิ๊กกั๊ก บอกว่าเดี๋ยวใส่เสื้อผ้าแล้วเข้าไปนอนกับเฮีย
พอดีแม่เดินมา ยังไม่ได้ขึ้นบ้าน ก็บอกว่า แม่ ไม่มีใครอยู่บ้าน ปล่อยให้น้องอยู่คนเดียว จุดเทียนเล่นด้วย แม่หัวเราะ แล้วบอกว่า อ้าว.. เห็นวิ่งตามเตี่ยไปแล้วนี่
เลยตื่น แปลกดี แต่ในฝันบรรยากาศมีความสุข แม่ก็เหมือนยังสาวอยู่
บอกแม่ชีดูหน่อย ฮ่าๆๆ ถ้ามีทำบุญแผ่ส่วยกุศลให้ด้วย แต่ดูแกไม่มีความทุกข์นะ เช็ดตัวให้เสร็จ นอนหัวเราะมีความสุขดี แม่ก็ยิ้มแย้มแจ่มใส
๑๖ ก.ย. ๒๕๖๐
พ.ศ. ๒๕๒๐ บวชแก้บนให้เตี่ย ๗ วัน ที่วัดกลางวังเย็น บางแพ ปีนั้นมีข้าราชการบวชหลายองค์ หลวงตาเลยจัดให้บรรดาพระข้าราชการออกบิณฑบาตรสายเดียวกัน ระยะทางเดินไม่ไกล แวะเวียนตามซอกซอยหมู่บ้าน เราไปทั้งหมด ๕ รูป เราเดินเป็นคนสุดท้าย ก่อนเราเป็นทหารอากาศ มีสีกากำลังใส่บาตร
ผ่านองค์ที่ ๑-๒-๓ องค์ที่ ๔ ขณะสีกากำลังหย่อนทัพพีอยู่ที่ปากบาตร หลวงพี่ทหารอากาศแกปิดฝาบาตรโครม ทัพพีกระเด็นตกพื้น ทั้งพระ ทั้งสีกา ตกตะลึงกันหมด หลวงพี่เปิดบาตรขึ้นมาใหม่ พูดเสียงสั่นๆ ว่า "ขอโทษครับ" สีกาใส่บาตรต่อ พระเดินต่อไป พอพ้นหมู่บ้าน หลวงพี่ทหารอากาศบอกว่าหยุดก่อน ส่งบาตรให้เราถือแทน ตัวเองถลกจีวรขึ้น งัดไอ้จู๋ขึ้นมา ที่ปลายไอ้จู๋มดแดงคันไฟกัดเกาะติดเหนียวแน่น
มันกัดผมตอนสีกาเขาใส่บาตรพอดี มือผมกระตุกเลย ยังดีที่แกไม่ฆ่ามัน แต่พูดด้วยความแค้นว่า ถ้ากูไม่บวช มึงตาย พรุ่งนี้ผมไปบิณฑ์สายอื่นแล้ว
เรื่องจริงไม่ได้พูดเอามันนะ
๑๗ ก.ย. ๒๕๖๐
* ภาพประกอบจากอินเตอร์เน็ต ไม่เกี่ยวข้องกับเนื้อเรื่อง
* ภาพประกอบจากอินเตอร์เน็ต ไม่เกี่ยวข้องกับเนื้อเรื่อง
บวชวันแรก หลังจากทำวัตรเย็นเสร็จ เราก็เดินกลับห้อง มีหลวงพี่ที่บวชเก่าเดินตามมาคุยด้วย และมีพระที่บวชใหม่เดินตามมาอีกสามองค์ รวมทั้งเราด้วยเป็นห้าองค์ เลยต้มน้ำชงกาแฟแจกถวายกัน ตอนหนึ่งพระเก่าบอกว่า คุณพิชัยนี่โชคดีนะ ห้องนี้ปิดมาหลายปีแล้ว เดิมเป็นห้องของหลวงตา (จำชื่อไม่ได้) แกตายในห้องนี้ แล้วหลวงพ่อเลยเก็บศพไว้ห้องนี้ครบปีจึงเผา ต่อมามีพระบวชใหม่เข้ามา ผมก็มาคุยแบบนี้แหละ คุยๆ อยู่มีกระดูกชิ้นหนึ่งขนาดนิ้วก้อย ตกลงมากลางวงเลย พระใหม่ย้ายห้องเลย เราเลยนึกว่า นี่จะเข้ามาคุยเป็นเพื่อน หรือมาทำลายประสาทกูวะนี่
เชื่อไหมทันทีทันใด ก็มีอะไรอย่างหนึ่งแข็งๆ ตกมากลางวงดังแก๊ก หยิบขึ้นมาดู กระดูกครับ ขนาดนิ้วก้อยเหมือนกัน ทุกคนตาค้าง
พระเก่าบอกว่าเหมือนกันเลย คุณอยู่ได้ไหม ตอบว่าได้ เขาคุยกันอีกพักหนึ่ง แล้วแยกไป เหลือแต่เรากับกระดูกชิ้นหนึ่ง เอาวางไว้หัวเตียง สวดมนต์แผ่เมตตา ใจคอสบายไม่กลัว ตอนสึกก็เข้าไปแบ่งบุญให้อีก
บวชให้พ่อแม่กุศลมาก เขาคงมาขอส่วนบุญ มาเป็นชิ้นเลย
๑๗ ก.ย. ๒๕๖๐
หลังจากตะเวนไพรมาสองวัน โง ของกะเหรี่ยงสองคนก็เต็มไปด้วยเนื้อย่างรมควันของเนื้อเก้งหลายตัว
เช้าวันที่สามเดินทางกลับตอนตีห้าเศษๆ ฟ้าเริ่มสาง เสียงไก่ป่าขันอยู่ในดงไผ่ใกล้ๆ คว้าปืนลูกซองเปลี่ยนจากลูกเก้าเม็ดสำหรับยิงสัตว์ใหญ่ เป็นลูกร้อยเม็ดสำหรับยิงสัตว์เล็กๆ ใส่ไปนัดเดียว ค่อยๆ ย่องไปตามเสียง แต่ไม่มีจังหวะยิง เพราะด้านนั้นกอไผ่รกทึบ มีทางเดียวต้องอ้อมไปอีกด้านหนึ่ง แต่ต้องลุยน้ำ ตาค่อยๆ สอดส่ายหาไก่ ซึ่งตอนนี้หยุดขันแล้ว ขณะนั้นเบื้องหลังในแอ่งน้ำ ได้ยินเสียงเหมือนอะไรว่ายน้ำอยู่ดัง แซ็บๆ หันไปดู ตัวเย็นเลย ตัวยาวไม่ต่ำกว่าสองเมตร แผ่แม่เบี้ยหลา อยู่ห่างไม่เกินห้าวา หนีไม่ทันแน่
ทรุดตัวลงนั่ง น้ำท่วมระดับหน้าอก ขึ้นนกปืน ใกล้เข้ามาจนเหลือ 1 เมตร นิ้วเหนี่ยวไก ไม่มึงก็กูละ ปืนลั่นตูม งูหัวกระจาย
เสียงตะโกนมาจากที่พัก ถามว่าได้ไหม เรียกกะเหรี่ยงที่มาช่วยหาบของ ให้ช่วยงมงูเอาขึ้นไปด้วย
พรรคพวกดีใจกันยกใหญ่ บอกว่าเอาไก่มาแลกสองตัวยังไม่เอา ฉะนั้นอาหารเช้าวันนั้นคือ ผัดเผ็ด และต้มยำจงอาง หากินได้ง่ายที่ไหน
แต่คนยิง กินไม่ลงว่ะ
๑๔ ต.ค. ๒๕๖๐
* ภาพประกอบจากอินเตอร์เน็ต ไม่เกี่ยวข้องกับเนื้อเรื่อง
หน้าฝน สิ่งที่ตามมาคือหน่อไม้กับเห็ด สองอย่างนี้เป็นที่โปรดปราน เต่าเหลือง เป็นเต่าบก จับโยนน้ำมันจะตาย เป็นเต่าขนาดใหญ่ กระดองเป็นรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้า บางตัวกว้างเป็นฟุต มีสีออกเหลือง
พอพ้นจากฤดูอาหารอุดมสมบูรณ์ กินอาหารจนร่างกายแข็งแรงก็จับคู่ผสมพันธุ์กัน หาที่สงบเงียบฟักไข่จำศีล ขุดหลุมซุกตัวอยู่ด้วยความสงบ
ศัตรูของเต่าเหลืองคือคน จับง่าย ฆ่าง่าย และที่สำคัญ เนื้ออร่อย แต่ถ้าพรานมีระดับเขาจะไม่ทำ เหมือนหมดศักดิ์ศรีทำนองนั้น แต่ถ้าหาสัตว์อื่นไม่ได้ หิวจนตาลาย ก็ดูเหมือนจะยอมลดศักดิ์ศรีลงมาเหมือนกัน
เคยเห็นเขาฆ่าเต่าเหลือง โดยจับตัวยกขึ้น แล้วเอาด้านก้นกระแทกพื้นแรงๆ เนื้อเต่าข้างในจะขาดจากกระดอง แล้วมีดถากด้านข้างลำตัวแงะออก กระดองจะแบ่งเป็นสองซีก ควักเนื้ออกมาหั่นเป็นชิ้นตามต้องการ แต่หัวใจยังเต้นยวบยาบอยู่เลย
บางคนง่ายกว่านั้น จับเต่านอนหงายบนกองไฟ กระดองเลยเป็นหม้อต้มตัวเอง งัดส่วนหน้าอกขึ้น ก็จะกลายเป็นอาหารชามโต ปรุงรสชาติตามใจชอบ อร่อยไปอีกแบบ ฤดูแล้งจำศีลเพลินๆ ไฟป่าลุกมา หนีไม่ทันก็กลายเป็นอาหารอันโอชะได้เหมือนกัน
พ.ศ. 2519 ออกตามเก้งที่บ้านพุบอนบน ได้พบภาวะหดหู่ใจ เต่าเหลืองตัวหนึ่งนอนหงาย หน้าท้องมีรอยถูกเจาะ หนอนขึ้นเต็มยุบยับ พวกกะเหรี่ยงที่ไปด้วย คนมันเจาะเอาไข่ไปกิน ตัวก็ปล่อยไว้อย่างนี้ แล้วนี่มันจะต้องทนทรมานไปอีกกี่วัน เลยเอาลูกซองกรอกหัว ช่วยดับทุกข์ไป
๑๔ ต.ค. ๒๕๖๐
* ภาพประกอบจากอินเตอร์เน็ต ไม่เกี่ยวข้องกับเนื้อเรื่อง
มีเพื่อนอยู่สามคม รสนิยมในความชั่วเหมือนกัน คือชอบล่าสัตว์
คนที่ ๑ เป็น ต.ช.ด. ยศจ่า อาวุธประจำกายคือคานินท์ ขนาด ๓๐.๐๖ จุดเด่นของเขาคือ ยิงตัดกระดูกสันหลัง สัตว์ที่ถูกยิงจะช็อคอยู่กับที่ แต่ไม่ตายทันที ใครเข้าป่าต้องชวนเขาไปด้วย
คนที่สองชื่อพิชัย อาวุธประจำกายคือลูกซองแฝด ขนาด ๑๒ รายนี้ไม่ชอบให้สัตว์ทรมาน จึงต้องยิงเข้ารักแร้แดง คือซอกขาซ้าย กระสุนจะพุ่งทะลุเข้าทำลายหัวใจ สัตว์จะตายทันที
รายที่สาม ชีวิตไม่นิยมสัตว์ใหญ่ บอกว่าต้องตามเหนื่อย เลยดักกระรอก กระแต กระต่าย แต่ความโหดอยู่ตรงที่ได้มาแล้วทั้งกรง จับชุบน้ำเดือดทันที
กรรม
คนที่ ๑ เป็นอัมพาต นอนจมขี้จมเยี่ยวเป็นปี ลูกเมียหนีหมด ตาย
คนที่ ๓ เป็นอัมพาต ชักกระตุก ตาย
คนที่ ๒ ยังอยู่ พยายามทำบุญชดใช้เจ้ากรรมนายเวรอยู่ครับ
ไม่ให้เอาเป็นตัวอย่างนะจ๊ะ
๑๔ ต.ค. ๒๕๖๐
ประมาณ ๕ ปีที่แล้ว ได้ไปตั้งศาลพระภูมิที่ทุ่งธรรมเสน โพธาราม มีศาลพระภูมิเก่า ตั้งแต่สมัยรุ่นพ่อ เป็นศาลไม้เก่ามาก อายุคงหลายสิบปี เห็นว่าดุมาก แค่พูดว่าจะรื้อ ก็เล่นงานจนเจ็บป่วย เจ้าของกะว่าจะปล่อยให้ผุพังไปเอง
ก็เลยบอกว่าไม่เป็นไรหรอก เดี๋ยววันตั้งศาลใหม่ แล้วจะถอนให้ ตอนทำพิธีก็โยงสายสิญจ์จากศาลเก่า มาศาลใหม่ ซึ่งอยู่ห่างกันประมาณ ๕๐ เมตร ทำการบอกกล่าว พิธีประมาณชั่วโมงกว่า ๆ เสร็จ
สิ่งที่ปรากฏ ที่ทุกคนตะลึง คือ บนทางเดินระหว่างศาลเก่ามาศาลใหม่ประมาณ ๕๐ เมตร กว้างประมาณ ๓ เมตร เต็มไปด้วยมดดำคาบไข่มา เต็มไปหมด มากจนคนเดินไม่ได้ จากศาลเก่ามาศาลใหม่ แสดงว่าพระภูมิ และเจ้าที่ท่านแสดงให้เห็นว่า ท่านยอมมาอยู่ที่ใหม่แล้ว โดยพาบริวารของท่านมาอยู่ด้วย
เสียดายสมัยนั้นไม่มีมือถือ ถ้าได้ถ่ายคลิปเหมือนตอนนี้ คงดังระเบิด
สัตว์เล็ก สัตว์น้อย เขาก็มีสิ่งศักดิ์สิทธิ์คุ้มครอง
๒๔ ก.พ. ๒๕๖๐
* ภาพประกอบจากอินเตอร์เน็ต ไม่เกี่ยวข้องกับเนื้อเรื่อง
* ภาพประกอบจากอินเตอร์เน็ต ไม่เกี่ยวข้องกับเนื้อเรื่อง
โรงเรียนบ้านหนองโก สวนผึ้ง เป็นโรงเรียนที่อยู่ในหุบเขา มีทางเข้าออกทางเดียว ถนนเป็นดินลูกรัง จากทางแยกจากถนนใหญ่ ตรงชัฏป่าหวายอีกสิบกว่า กม. มีบ้านพักครูสี่หลัง เป็นบ้านรุ่นเก่าสามหลัง และรุ่นใหม่หนึ่งหลัง มีครูสิบกว่าคน บางคนไปเช้าเย็นกลับ บางคนพักที่บ้านพักครู
ที่แปลกคือ ครูพักอยู่บ้านหลังเก่า บ้านหลังใหม่ปิดเงียบ เราเลยได้อยู่หลังใหม่ นึกในใจมันต้องมีอะไร
เวลาวันเสาร์-อาทิตย์จะพากันกลับบ้านหมด มีอยู่อาทิตย์หนึ่ง เราต้องอยู่เวรเฝ้าโรงเรียน เลยต้องอยู่คนเดียว บรรยากาศเงียบสงบ เดือนหงายแสงจันทร์ส่องสว่างเหมือนกลางวัน
สมัยนั้นมีวิทยุมือถือสื่อสาร ก็คุยกับใครต่อใครเรื่อยเปื่อย สักสี่ทุ่มว่าจะนอน ก็ได้ยินเสียงวิทยุเรียกเข้ามา เป็นของพี่หยัดผู้ช่วยผู้ใหญ่บ้าน ถามว่ามีเหล้ากินไหม บอกว่ามีอยู่สองขวดจะเอาก็มาเอา สักพักแกก็ขับรถแทรกเตอร์เข้ามา แกบอกว่าแกไปไถไร่ที่บ้านคามา แกบอกว่าขอกินที่นี่แหละ ก็เลยยกเหล้ามานั่งกินกับแกที่แคร่ใต้ต้นไม้ กินเหล้ากันยังไม่ทันหมดแก้ว ทันใดนั้นท่างกลางแสงจันทร์สว่างขนาดมดก็ยังมองเห็น ปรากฏเสียงเด็กๆ นับเป็นสิบหัวเราะกันคิกคัก พร้อมทั้งเสียงวิ่งอยู่รอบตัวเรา
พี่หยัดกระชากปืนออกจากเอว ขึ้นลำ แคร็ก โดดขึ้นไปยืนบนแคร่ ปากก็ตะโกนว่า อี... (จำชื่อไม่ได้) เอาอีกแล้วหรือวะ เราก็งง ถามว่าอะไรพี่หยัด แกไม่ตอบกลับจะโดนด่าอีกว่า อีห่า ทำบุญให้แล้ว ก็ยังมาหลอกมาหลอนอีก มาให้เห็นตัวซีวะ กูจะยิงให้พรุนเลย
แกโดดลงมาจากแคร่ ดึงมือผม ไปกันเถอะครู ไปนอนบ้านผม ไม่ต้องเฝ้ามันแล้ว โรงร่ำ โรงเรียนนี่ ให้ไอ้ห่านี่มันเฝ้าแล้วกัน
เราก็บอกว่าผมไม่ไปหรอก ผมอยู่ได้ พี่หยัดไปเถอะ ส่งเหล้าในขวดที่เหลือให้แกไปด้วย แกกลับไปแล้ว เราก็ขึ้นบ้าน กลัวเหมือนกันแหละ สวดมนต์เสร็จเอาลูกปืนมาเสก นอนแล้วก็หลับ ตื่นเช้ามาพี่หยัดมาแต่เช้า ถามว่าใคร แกบอกว่าบ้านหลังนี้เป็นบ้านครูใหญ่คนก่อน เมียแกเป็นชาวบ้านธรรมดาแต่ปากจัด วันหนึ่งแกด่าภารโรงจนภารโรงทนไม่ไหว เลยแทงแกตายคาที่ ตรงปากประตูนี่แหละ แล้วแกก็ไล่หลอกใครต่อใคร ชาวบ้านเลยทำบุญให้ เงียบไปเป็นปี แต่บ้านนี้ก็ไม่มีครูคนไหนกล้ามาอยู่ แม้กระทั่งครูใหญ่คนใหม่ บ้านอยู่จอมบึง ถ้ามีความจำเป็นต้องค้าง แกก็ขึ้นไปนอนบนโรงเรียน
เราก็อยู่ของเราเรื่อยมา ไม่ปรากฏอะไร จนย้ายกลับมาโพธาราม ปรากฏการณ์ครั้งนั้น เลยทำให้ชาวบ้านชื่นชมว่าครูพิชัย แกไม่กลัวผี
ยังไม่แน่ใจเหมือนกันว่า เหตุการณ์วันนั้นจะเป็นแกหรือเปล่า
จบแล้ว
-----
สุเทพ : อาเจ็ก มีเสกลูกปืนด้วย ผีมีหวังตายรอบ 2 ครับ
Pichai : 555 เสกเป็นกำลังใจให้ตัวเอง ใช้บทมงกุฏพระพุทธเจ้านี่แหละ อฐิษฐานเอา สมัยสอนอยู่บ้านคา เด็กกะเหรี่ยงต้องอึปวดท้องนอนดิ้นจะตาย ก็เอาใช้บทนี้แหละเป่าหัว พรวดเดียวขี้แตกเลย พวกกะเหรี่ยงชมเปราะ ขนาดตอนนั้นเมาๆ ด้วยนะ อันที่จริง เด็กมันขี้แตกเพราะมันอาจตกใจตอนถูกเป่าก็ได้ 555
๑ มี.ค. ๒๕๖๒
หุบอีหมอก เป็นชื่อหุบเขา ส่วนหนึ่งของป่าบ้านหนองโก เหตุที่ได้ชื่อว่าหุบอีหมอก เพราะแม้แต่ยามฤดูแล้ง ป่าส่วนอื่นแห้งเกรียม แต่บริเวณหุบส่วนนี้จะเขียวชอุ่ม ตอนเช้ามืดจะมีหมอกปกคลุมอยู่ทั่วไปจนสาย อยู่ห่างจากโรงเรียนประมาณ 5 กม. แต่เดินจริงก็ต้องกว่านั้น
วันอาทิตย์ไม่ได้กลับบ้านเพราะอยู่เวร ตอนเช้าวันอาทิตย์กะว่าจะต้องเข้าหุบซะหน่อย ชมบรรยากาศ แต่จุดลึกๆ คือยิงสัตว์ (บาป แต่ตอนนี้เลิกแล้ว) สัก 11 โมง นั่งกินข้าวที่ห่อไปริมลำห้วย และยังไม่ได้อะไรเลยสักตัว วิทยุจากผู้ใหญ่ก็เรียกเข้ามา (เพราะก่อนไปเดินผ่านบ้านแก ก็ตะโกนบอกให้แกรู้ เจอใครก็บอก เผื่อเกิดอะไรขึ้นเขาจะได้ตามถูก) ถามว่าตอนนี้อยู่ตรงไหน ก็บอกพิกัดให้ แกบอกให้หลบเข้าหาที่กำบังให้มิดชิด ห้ามออกมาเด็ดขาดจนกว่าจะเรียกมา ยามนั้นไม่ต้องถามหาสาเหตุ หาซอกหินมีใบไม้ปกคลุมได้ ก็เข้าไปนอนจิบเหล้าไปพลางๆ เกือบชั่วโมง ได้ยินเสียงปืนยิงเร็ว รัว ขึ้น 2 ชุดแล้วเสียงก็เงียบไป สักพักผู้ใหญ่ก็เรียกเข้ามา ให้เราเดินกลับทางเก่า เดินมาได้สักสองร้อยเมตร เจอผู้ใหญ่พร้อมตำรวจอีกสิบกว่าคน กับศพอีกสองศพ
มันลักสิบล้อมาจากข้างนอกแล้วเลี้ยงหนีตำรวจเข้าหนองโก โดยที่มันไม่รู้ว่าหนองโกเข้าออกได้ทางเดียว เลยทิ้งรถหนีขึ้นเขา ถ้าข้ามมาได้จะเข้าเขตหนองวัวดำ ปากท่อ แต่ตำรวจเขาก็ขอกำลังจากปากท่อมารอรับพวกมันที่หนองวัวดำอยู่แล้ว
แต่ที่สำคัญมันตัองผ่านหุบอีหมอกโดยที่เราไม่รู้เรื่องนี่ซิ เดินแบกปืนทะเล่อทะล่า ตำรวจเขาเห็นเขาก็ต้องเล่นก่อนละ ถ้าผู้ใหญ่ไม่รู้ ก็ทำนองเดียวกัน คงเรียบร้อย ไม่เจ็บก็ตายมาถึงวันนี้
ชีวิตคนแก่ ก็เล่าแต่ความหลังละนะ ความจริงเรื่องนี้ชักลืมๆ ไปแล้ว เปิดกูเกิ้ลฟังเรื่องอาถรรพ์ป่า จึงนึกขึ้นได้ ว่าง ๆ จะเล่าอีก
๑ มี.ค. ๒๕๖๒
* ภาพประกอบจากอินเตอร์เน็ต ไม่เกี่ยวข้องกับเนื้อเรื่อง
* ภาพประกอบจากอินเตอร์เน็ต ไม่เกี่ยวข้องกับเนื้อเรื่อง
คนที่มีสันดานเดียวกัน จึงคบกันได้
คนที่ ๑ ครูสุวิทย์ ลูกชายกำนันละเอิง กะเหรี่ยงแท้ รูปหล่อเหมือนไชยา สุริยัน กะเหรี่ยงแท้ได้ความรู้เรื่องป่า เก่งมากมาจากต้นตระกูล ยิงสัตว์ ดักสัตว์มาแทบทุกชนิดที่มีอยู่ในป่า
คนที่ ๒ จ่าเชน เป็น ต.ช.ด. ยิงปืนแม่น แต่เป็นโรคจิต ต้องยิงให้สัตว์ทรมาน โดยยิงตัดกระดูกสันหลัง สัตว์จะหยุดคาที่ แต่ไม่ตาย พวกพรานเมืองกรุงชอบจ้างให้เป็นพรานนำทางเข้าป่า
คนที่ ๓ เฮียปอ ไม่ชอบยิงปืน ไม่ยิงสัตว์ใหญ่ นิยมดักกะรอก กระแต กระต่าย แต่วิธีการฆ่าคือ จุ่มน้ำเดือดทั้งเป็นๆ สุดโหด
คนที่ ๔ พิชัย มืออ่อนสุด แต่ชอบก็เลยไปกับเขาได้
คนที่ ๑, ๒, ๓ ตายเหมือนกันหมด คือเป็นอัมพาตเป็นปี
คนที่ ๔ ก็อย่างที่เห็น ๆ นี่แหละ*
จำเอาไว้ง่ายๆ อะไรทีเป็นบาปอย่าทำ
๑ มี.ค. ๒๕๖๒
-----
* ป่วยเป็นมะเร็งลำใส้ - ผู้บันทึก
เรื่องเล่าที่จุดชมวิว... เมื่อสักพักมีรถมาเก็บขยะ ทำให้นึกถึงตอนสอนที่ ร.ร.เทศบาลวัดไทร ท่าน ผอ. เขามีโครงการตาวิเศษ โดยให้เด็กคอยดูเพื่อนๆ ว่าใครทิ้งเศษกระดาษ ฯลฯ แล้วจดชื่อมาส่งครูเวร แล้วครูเวรก็มีหน้าที่ชำระความ เนื่องจากนักเรียนมีเป็นพัน คนทำผิดก็ย่อมมาก
มีแต่ว่าครูพิชัยไม่เคยมีการทำโทษเด็กเรื่องนี้เลย จน ผอ. ท่านหมั่นใส้เต็มประดา เมื่อประชุมท่านก็เอาเรื่องนี้เข้าไปพูด ก็ปล่อยให้ท่านพูดเสร็จ ก็ขอชี้แจงว่าผมไม่ได้ละเลย แต่ผมใช้วิธีการ เมื่อไปพบคนทิ้งของ ไม่ต้องแอบจดชื่อมา ให้เข้าไปเตือนและให้เก็บเดี๋ยวนั้นเลย เมื่อเขาทำแล้วก็ไม่ต้องเอารายชื่อมาส่ง
สาเหตุที่ผมทำเช่นนี้เพราะผมไม่ชอบสอน ให้เด็กแอบจับผิดกัน เพราะจะเป็นการเพาะนิสัยที่ไม่ดี ชอบจับผิดคนอื่น เข้าตำราที่ว่า ฆ่าน้อง ฟ้องนาย ขายเพื่อน
ถ้าเห็นว่า ถ้าเวรผมแล้ว โรงเรียนสกปรกก็ให้ท่าน ผอ. เล่นงานผมได้ แต่จะให้เอาเด็กที่ทำผิด มายืนประจาน ผมไม่ทำ
ก็เป็นเหตุหนึ่งที่ ผอ. ท่านรักผมมาก 555 ใครรับราชการ ทำงานแบบนี้มีเจ้านาย ห้ามเลียนแบบนะจ๊ะ
๑๐ มี.ค. ๒๕๖๒
* ภาพประกอบจากอินเตอร์เน็ต ไม่เกี่ยวข้องกับเนื้อเรื่อง
* ภาพประกอบจากอินเตอร์เน็ต ไม่เกี่ยวข้องกับเนื้อเรื่อง
อยู่บ้านกัน ๔ คนมีย่า แม่ชีน้อย เฮียชัย นิดยังไม่เกิด เจ๊เล็ก-เฮียแป๊ะไปโรงเรียนกับเตี่ย อยู่ที่บ้านหลับหมด เฮียชัยแอบหลับอยู่ข้างมุ้งเอามุ้งพันตัว
นานเท่าไรไม่รู้ เสียงเฮียย้อยตะโกนเรียกแม่ ว่า "น้อย ตกน้ำ" และตกนานเท่าไรไม่รู้อีก แต่คงนานเพราะพี่ย้อยคิดว่าเป็นเสียงปลาผุด ตั้งใจว่าคืนนี้ต้องวางเบ็ดเพราะเสียงน้ำดัง แสดงว่าปลาตัวโต
พี่ย้อยกล้บออกมายืนดูที่ระเบียง เจอน้อยลอยปร๋อเลย แหงนหน้าขึ้น น้ำไม่เข้าปาก จมูก แม่-พี่ย้อยกระโจนลงไปช่วยขึ้นมา ไม่ร้องด้วย นี่แหละฉายาแม่ชีกายสิทธิ์
หายตกใจแม่บอกว่าแล้วไอ้ชัยล่ะ ไปชะโงกดู ไม่ลอยนี่หว่า เอะใจค้นในบ้านหลับเอามุ้งพันตัวอยู่รอดไป ตอนนั้นแม่ชีน้อยคงประมาณสามขวบ เฮียชัยก็คงหกขวบยังไม่เข้าโรงเรียน
ตกน้ำไม่จมแสดงว่าเป็นผู้มีฤทธิ์มาตั้งแต่เกิดแล้วตอนนี้ฤทธิ์ยิ่งมากอาจเหาะให้ดูก็ได้
๒๔ ก.ย. ๒๕๖๒
ฤดูน้ำหลากตรงกับเข้าพรรษาเหมือนขณะนี้ ตอนเช้าแม่จะจัดสำรับใส่เรือไปทำบุญกันทั้งครอบครัว เสร็จแล้วพวกเราก็กลับกัน ย่าค้างถือศีลปฏิบัติธรรม
ตอนเช้ามืด อุบาสิกาอุบาสก ทำวัตรเสร็จก็พากันกลับ บางคนเอาเรือไปจอดไว้ที่วัด ก็พายกลับเอง สำหรับย่าพวกเราต้องไปรับ มีเจ็เล็กหรือเฮียแป๊ะเป็นคนพายเรือ
สำหรับเราก็ต้องนั่งหัวเรือไปด้วย เวลาไปรับย่าเราจะมีความสุขมาก วันที่โกรธย่ามาก คือวันที่ย่าไม่รอเรา อาศัยคนอื่นกลับมาก่อน จะงอนเป็นวันๆ จนย่ารู้ บอก เออต่อไป ไม่อาศัยใครมาแล้ว
ตอนนี้ไม่รู้ไปอยู่ไหนแล้ว ไปเงียบไม่คิดถึงบ้างเลย ย่าตาย พ.ศ. ๒๕๐๓ เผา ๒๕๐๖ เราบวชเฌรให้
๒๔ ก.ย. ๒๕๖๒
* ภาพประกอบจากอินเตอร์เน็ต ไม่เกี่ยวข้องกับเนื้อเรื่อง
* ภาพประกอบจากอินเตอร์เน็ต ไม่เกี่ยวข้องกับเนื้อเรื่อง
สมาชิกรุ่นใหม่คงสงสัยว่าพี่ยัอยบ้านอยู่ตรงไหน เห็นก็ตรงลานบ้านใหญ่ กับบ้านน้องพรขนะนี้แหละ แต่จะอยู่ติดบ้านใหญ่ หลังคาห่างกันนิดเดียว
ทั้งสองบ้านมีโรงวัว และยุ้งข้าวเหมือนกัน สวนหลังบ้านตรงนั้นเดิมเป็นนา มีลานนวดข้าว มีลอมฟาง อยู่ใกล้กับสวนใหญ่ จำได้เคยเห็นใช้นวดข้าวอยู่สองสามครั้ง ต่อมาบ้านลุงพลบก็ย้ายออกไปอยู่รางลูกนาต ทางไปวัดแช่ไห บ้านเราก็ยกเป็นสวน การทำนาก็เลิกไป วัวก็ขายไป ยุ้งข้าว โรงวัวก็รื้อมาเป็นบ้านค้าขาย เปิดร้านขายของจิปาถะ ขายกาแฟ แล้วทุกอย่างก็จบหายไป
ทุกอย่างมีการเปลี่ยนแปลง พี่น้องโตขึ้นแยกย้ายกันไปทำงานตามกฎแห่งกรรมนานครั้งจึงได้เจอกัน ทุกอย่างก็เหลือแต่รอยของความคิดถึง
ว่างๆ จะคุยต่อนะจ๊ะ
๒๕ ก.ย. ๒๕๖๒
อ๊ะ!! ยิ่งคุยยิ่งเวอร์ไปใหญ่ ใครไม่เชื่อไปถามเจ๊เล็ก เฮียแป๊ะดูก็ได้ โรงสีตั้งอยู่ทางทิศตะวันออกของยุ้งข้าว เกือบถึงศาลพระภูมิตอนนี้ เป็นเพิงกันแดดกันฝนต่ออกจากยุ้งข้าว ในโรงสีประกอบด้วยครกกระเดื่อง 1 ขุด คือครกหงายฝังลงในดินสักครึ่งลูก กระเดื่องตำขัาว ครกมือ เครื่องสีข้าว ให้นึกถึงโม่แป้งมีสองส่วนประกอบกันดังนั้น แต่ไม่ทำด้วยปูน หากทำด้วยไม้ไผ่สาน และใส่ดิน มีลิ้นไม้เป็นตัวบดข้าวเปลือกให้เปลือกข้าวหลุด การทำงานการไหลออกของข้าวสารคล้ายโม่นั่นแหละ
ข้าวที่ถูกการซ้อมการตำแล้ว ก็จะมาผ่านเครื่องสีแแยกเปลือกแยกเนื้อกันตรงนี้
ตัวต่อไปเป็นสีฝัดเป็นโครงไม้ใหญ่ ข้างในมีใบพัดที่หมุนจากมือ ใบพัดจะเป่าลมข้างในออกมาข้างนอก ข้าวที่ผ่านเครื่องสีมาแล้ว จะถูกเทเข้าไปในสีฝัด คนหมุนก็หมุนไปแรงลมก็จะดูดแกลบ และสวะต่างๆ ที่แนบมากับข้าวออกทางข้างบน เม็ดข้าวสารก็จะไหลออกทางเบื้องล่าง
กระด้ง กระทาย เป็นขัันตอนสุดท้าย ข้าวจากสีฝัดจะถูกแบ่งลงกระด้งซี่งจะต้องอาศัยความชำนาญ เอาสิ่งสกปรกออกเป็นครั้งสุดท้าย
กว่าจะได้กินเหนื่อย ที่เห็นว่าจะต้องซื้อ หรือจ้างเขาทำนี่จะมีอยู่อย่างเดียวคือสีฟัด นอกนั้นฝีมือเจ้าของบ้านล้วน บ้านใครมีสีฝัดก็นับว่าเป็นผู้มีอันจะกินสักหน่อย ก๋งชั๊วแกขยันทำนาเป็นร้อยไร่ แกจึงต้องมีโรงสีฝัด ส่วนคนที่ทำนาเล็กๆ น้อยๆ เขาก็มาขอใช้บริการเครื่องเรา โดยสีเท่าไรให้ข้าวสารเท่าไร
ไม่รู้อธิบายพอมองเห็นภาพออกเปล่าไม่รู้ อ่านไม่รู้เรื่องก็ไม่เป็นไรเพราะไม่ได้เอาไปสอบวัดผล จบนะ
๒๕ ก.ย. ๒๕๖๒
* ภาพประกอบจากอินเตอร์เน็ต ไม่เกี่ยวข้องกับเนื้อเรื่อง
* ภาพประกอบจากอินเตอร์เน็ต ไม่เกี่ยวข้องกับเนื้อเรื่อง
ก๋งชั๊ว ยายสุข สร้างสีฝัด เพราะแกทำนาเยอะ แต่บางคนไม่มีนาสักกระแบะมือกลับสร้างสีฝัดไว้หลายๆ เครื่องก็เอาไว้รับจ้างชาวนาแปลงเล็กแปลงน้อยไงครับ
ผลประโยชน์อันดับแรกก็หักหัวคิวถังละกระนาน ผลต่อเนื่องคือแกลบ สุมเป็นถ่านขาย พวกเพาะถั่วงอก รำและปลายข้าวไว้เลี้ยงหมูโดยผสมกับพืชผักธรรมชาติ เช่นต้นกล้วย ผักบุ้ง ฉะนั้นเจ้าของโรงสีพวกนี้จึงต้องมีอาชีพเลี้ยงหมูเพิ่มอีกนั่นเอง
เจ้าของโรงสีนี้คือก๋งเค่งฮง แซ่คู กับย่าไน่เฮี๊ยะของเรานั่นเอง เตี่ยเคยบอกว่าก๋งกับย่าจะเก็บเงินกลมไว้เป็นไหๆ จัดว่าพอมีสตางค์ จะไม่มีได้ไง นอกจากค้าขายเครื่องใช้ไม้สอยต่างไปแล้ว พวกโคกกลางโคกคลังตับเป็ด ก็มาสีข้าวกันทุกคืนเช้าสาย ค้าขายรวยนี่ก็ดูจะอยู่ จนทางเหนือเรียกแม่เลี้ยงก็ยังมี
มีตังแล้วทำไมไม่ซื้อที่ปลูกบ้าน เพราะก๋งต้องการกลับเมืองจีนอย่างเดียว ต่อมาก๋งล้มเจ็บเงินก็ถูกนำมารักษาจนหมดแล้วก็ลาลับโลกนี้ไป ถ้าก๋งไปเมืองจีนก๋งก็จะเอาเตี่ยที่เป็นลูกชายคนเดียวไปด้วย ถึงขนาดไปดูเวลาเรือออกเตรียมซื้อตั๋วก็ยังไม่ได้ไป
ถ้าเตี่ยไปอยู่เมืองจีนพวกเราคงไม่รู้จักกันเนอะ
๒๕ ก.ย. ๒๕๖๒
* ภาพประกอบจากอินเตอร์เน็ต ไม่เกี่ยวข้องกับเนื้อเรื่อง
นานมาแล้ว ต้นอายุประมาณ ๒-๓ ขวบ พาลูกไปอาบน้ำ ในคลองข้างบ้าน อยู่ไม่อยู่จากฟ้าแจ้ง ก็มีเมฆมืด พายุแรง
เงยหน้าไปมอง เพราะลมแรงมาก เห็นนกใหญ่มาก บินอยู่กลางอากาศ และมองลงมาที่เรา สองแม่ลูก ตอนนั้นกลัวมาก กอดลูกไว้ แล้วก็มองอยู่อย่างนั้น แป๊บเดียวก็หายไป ไม่รู้หายไปไหน
เกิดมาในชีวิต ยังไม่เคยเห็นนกใหญ่ขนาดนี้มาก่อนเลย และเมื่อเขาไปแล้ว ฟ้าก็แจ้งเหมือนเดิม พายุลมแรงก็หายไป
ก็มีเท่านี้ ตอนแรกไม่คิดว่าจะเป็น พญาครุฑ แต่ตอนหลังมาอ่านในหนังสือเจอแบบเดียวกันเลย ก็คือพญาครุฑนั่นเอง
๑๖ ก.ย. ๒๕๖๒